พ่วงแบตรถยนต์ ฉบับมือใหม่หัดจัมพ์

ตอนขับก็ปกติ พอสตาร์ทเครื่องดันไม่ติดซะงั้น ?

คนที่ใช้รถหลายคนคงเคยเจอประสบการณ์แบบนี้ใช่ไหมครับ น้ำมันก็ไม่หมด ตอนขับก็ขับได้ปกติ ไม่มีปัญหา เครื่องยนต์ก็ทำงานปกติ แต่พอดับเครื่องไว้ซักพักแล้วมาสตาร์ทอีกครั้ง กลับสตาร์ทไม่ติดซะงั้น ปัญหานี้เกิดจากอะไร เดี๋ยว Mr. FIT มาเล่าให้ฟังครับ 😄

แบตเตอร์รี่รถยนต์ ที่เป็นแหล่งพลังงานหลักของรถยนต์ เมื่อแผ่นธาตุในแบตเตอร์รี่รถยนต์เสื่อมหรือเก็บไฟไม่อยู่แล้ว ทั้งกระแสไฟฟ้าและแรงเคลื่อนไฟฟ้าจะมีไม่พอที่จะทำให้มอเตอร์สตาร์ทหมุนให้เครื่องยนต์ติดได้ สาเหตุที่ทำให้แผนธาตุในแบตเตอรี่เสื่อมหรือหมดอายุการใช้งานเกิดจากปัจจัยดังนี้

  1. น้ำกลั่นแบตเตอรี่แห้งหรือต่ำกว่าแผ่นธาตุของแต่ละช่อง ( แบตฯมี 6 ช่องเติมน้ำกลั่น )
  2. ไดชาร์จ , ชาร์จกระแสไฟฟ้าเข้าแบตเตอรี่มากเกินไป ( คัตเอ้าท์หรือสวิทช์ควบคุมเสีย )
  3. แผ่นธาตุเสื่อมตามอายุการใช้งาน ( ประมาณ 1.5-2 ปี )
  4. เลือกใช้ขนาดแบตเตอรี่ไม่ตรงกับความต้องการของเครื่องยนต์หรือระบบไฟฟ้าของรถยนต์ เช่น ใช้แบตเตอรี่ที่มีค่า CCA ของกระแสไฟฟ้ามากเกินไปหรือใช้แบตเตอรี่ที่มีค่า CCA ของกระแสไฟฟ้าน้อยเกิดไป ซึ่งทำให้แบตเตอรี่เสื่อมหรือชำรุดก่อนกำหนด
  5. เปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าในรถยนต์ทิ้งไว้เป็นเวลานานจนทำให้แบตเตอรี่หมด และไม่มีกำลังไฟพอที่จะสตาร์ทเครื่องยนต์ได้

ดังนั้นการแก้ไขปัญหาเบื้องต้นที่ง่ายและรวดเร็วที่สุด เพื่อกระตุ้นการทำงานของแบตเตอร์รี่และช่วยทำให้มอเตอร์สตาร์ทหมุนให้เครื่องยนต์ติดได้ คือ “การพ่วงแบตฯ หรือ การจัมพ์สายแบตฯ” โดยให้ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้

  1. เตรียมสายจั๊มแบตเตอรี่ให้พร้อม

อันดับแรกเลย คุณจะต้องเตรียมสายพ่วงแบตรถยนต์ หรือสายจั๊มแบตให้เรียบร้อยก่อน แนะนำให้เก็บไว้ในรถของคุณตลอดเวลา เผื่อกรณีฉุกเฉินเราจะได้นำมาใช้งานทันที โดยสายพ่วงแบตเตอรี่จะมีทั้งหมด 2 เส้น ได้แก่ สีแดงคือประจุไฟขั้วบวก และสีดำหรือสีเขียวคือประจุไฟขั้วลบ ทั้งนี้ความยาวที่ดีของสายเเบตเตอรี่ควรลากมาพ่วงต่อกันได้ เพื่อไม่ให้รถมาชิดมากเกินไป เอาเป็นว่า!! เผื่อความยาวเอาไว้ดีกว่า

  1. ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าของรถทั้งสองคัน

ต่อมาให้เรานำรถทั้งสองคันมาจอดใกล้กันประมาณครึ่งเมตร แต่อย่าจอดชิดกันเด็ดขาด แล้วปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าของรถทั้งสองคันให้หมด เช่น ไฟหน้า ระบบแอร์ วิทยุ และเครื่องเสียง เป็นต้น เพื่อป้องกันรถเกิดประกายไฟหรือระเบิดตามมาและต้องการให้กระแสไฟฟ้าทั้งหมดไปที่มอเตอร์สตาร์ทได้อย่างเต็มที่

  1. ต่อสายพ่วงแบตเตอรี่เข้ากัน ( แบตฯลูกที่จะพ่วงต้องมีขนาดใหญ่และกระแสไฟฟ้าที่สูงกว่าแบตเตอรี่ที่จะถูกพ่วงมิฉะนั้นจะแล้วมอเตอร์สตาร์ทจะไม่สามารถหมุนให้เครื่องยนต์ติดได้ )

หลังจากเราปิดสวิตช์อุปกรณ์ไฟฟ้าของรถแล้ว ให้เปิดฝากระโปรงรถทั้งสองคัน แล้วทำการต่อสายพ่วงแบตเตอรี่ ดังนี้

  • ใช้สายสีแดงคีบไปที่ขั้วบวก (+) ของรถที่แบตฯหมด
  • และคีบสายสีแดงอีกด้านเข้ากับขั้วบวก (+) ของรยนต์ที่มีไฟ
  • จากนั้นคีบสายสีดำไปที่ขั้วลบ(-)ของรถที่มีไฟ
  • สุดท้ายคีบสายสีดำอีกด้านไปที่โครงโลหะของรถยนต์ที่แบตหมด
  1. ลองสตาร์ทเครื่องยนต์

ให้เราสตาร์ทรถยนต์ของคันที่แบตเตอรี่มีไฟเต็มก่อน ทิ้งไว้ประมาณ 3-5 นาที แล้วเร่งเครื่องยนต์เล็กน้อย ทำให้เกิดการถ่ายเทประจุไฟฟ้าภายในของตัวเเบตเตอรี่

หลังจากนั้นค่อยสตาร์ทรถคันที่เเบตหมด โดยเร่งเครื่องเล็กน้อย เพื่อให้แน่ใจว่ามีกระแสไฟเข้าแบตเตอรี่แล้วหรือยัง แต่ถ้ายังสตาร์ทไม่ติดก็ลองสตาร์ทใหม่อีกครั้ง พอเครื่องกลับมาใช้งานปกติ ก็ปล่อยทิ้งไว้สัก 1-2 นาทีก่อน

  1. ถอดสายพ่วงแบตออก

สำหรับการถอดสายพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์ให้ปลอดภัย ก็ต้องทำตามขั้นตอนด้วยเช่นกัน โดยเริ่ม

  • ถอดจากขั้วลบคันที่แบตฯหมดออกก่อน
  • ถอดขั้วลบอีกคันที่มาช่วย หลังจากนั้นก็ถอดขั้วบวกคันที่มาช่วย
  • ถอดสายพ่วงขั้วบวกคันที่รถแบตหมดตามลำดับ ก็เป็นอันเสร็จสิ้น
  • แต่เราต้องระวังไม่ให้สายจั๊มต่างสีมาสัมผัสกัน เพื่อความปลอดภัยระหว่างใช้งานด้วย

*** ข้อควรระวัง !! ***

  1. โดยก่อนการพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์นั้น ต้องให้แน่ใจว่ารถทั้ง 2 คัน คือรถที่แบตเตอรี่หมดกับรถที่มาช่วยเหลือต้องปิดระบบไฟต่างๆภายในรถให้หมดก่อนเช่น ไฟหน้า ไฟฉุกเฉิน วิทยุ แอร์ ไฟภายในรถ รวมถึงให้ทำการดับเครื่องยนต์ทั้ง 2 คันก่อนการพ่วงแบตฯเสมอ และให้สังเกตุเบื้องต้นว่า แบตเตอรี่ของทั้ง 2 คันนั้นอยู่ในสภาพที่ดี ไม่มีการแตกหัก หรือการรั่วซึมของน้ำกรดแบตเตอรี่
  2. ให้หลีกเลี่ยงการต่อสายพ่วงเข้ากับขั้วลบของแบตเตอรี่ของรถคันที่แบตเตอรี่หมดเพื่อป้องกันแบตเตอรี่ระเบิด
  3. ในการถอดสายพ่วงแบตเตอรี่ให้ระวังปลายสายของสายพ่วงแบตเตอรี่ไปสัมผัสกัน
  4. ควรเรียงลำดับการปลดสายให้ถูกต้องเพื่อป้องกันปัญหากระแสไฟไหลย้อนกลับ

ทั้งนี้การจัมพ์แบตเตอร์รี่ก็เป็นเพียงการแก้ปัญหาเบื้องต้นเท่านั้น ควรแก้ปัญหาที่ต้นเหตุอย่างตัวแบตเตอร์รี่ที่เสื่อมสภาพ ซึ่งสามารถมาเปลี่ยนแบตเตอร์รี่ได้ที่ FIT Auto ทุกสาขา หรือถ้าต้องการความมั่นใจตลอดการขับขี่ ควรตรวจเช็กสภาพรถก่อนเดินทางเสมอด้วยบริการ “ตรวจเช็กสภาพรถยนต์ 35 รายการ” ที่เปิดให้บริการที่ FIT Auto ทุกสาขาเช่นกันครับ

version: 1.0.3